การเชื่อมไฟฟ้า งานเชื่อมโลหะ งานเชื่อมโครงเหล็ก

การเชื่อมไฟฟ้า คือการอาร์คในรูปแบบหนึ่ง โดยที่ใช้ก้านธูปหรืออิเล็กโทรดที่มีการหุ้มด้วย ฟลักซ์ที่ใช้สำหรับเชื่อมโลหะเข้าด้วยกัน ในกระบวนการดังกล่าว เป็นวิธีที่ไม่ซับซ้อน          มีความยืดหยุ่นในการทำงานสูง จึงเป็นที่นิยมกันอย่างมาก เมื่อเทียบกับวิธีอื่นที่มีความยุ่งยากมากกว่า ในการทำงานด้านอุตสาหกรรม ไม่ว่าเป็นการซ่อมบำรุง การก่อสร้าง หรือการเชื่อมโลหะโค้งเหล็กที่มีขนาดใหญ่ สแตนเลส อลูมิเนียม ทองแดง และนิกเกิล ก็นิยมใช้การเชื่อม เป็นซะส่วนใหญ่

วิธีการเชื่อมโลหะ มีหลายวิธี วิธีที่นิยมในการเชื่อมคือ

1.การเชื่อมด้วยแก๊ส (GAS) เป็นการเชื่อมที่อยู่ในกลุ่มการเชื่อมแบบหลอมเหลว ซึ่งใช้ความร้อนที่ได้มาจากการเผาไหม้ ระหว่างอะเซทีลีนและออกซิเจน เป็นแก๊สเชื้อเพลิงที่ติดไฟได้ จะสมบูรณ์ในช่วงอุณหภูมิตั้งแต่ 3,200 องศาเซลเซียสขึ้นไป
ซึ่งปฏิกิริยานี้จะไม่ก่อให้เกิดเขม่าและควัน

2.การเชื่อมอัด (Press) เป็นการเชื่อมด้วยวิธีที่ทำให้โลหะ 2 ชิ้นประสานติดกัน โดยการใช้ความร้อนเป็นตัวช่วย   ให้ความร้อนในจุดที่จะทำการเชื่อม เชื่อมติดกัน  ประสานกันตามแนวที่สามารถใช้ความร้อนได้จากแรงต้านไฟฟ้า

3.การเชื่อมไฟฟ้า (Arc) หรือ การเชื่อมอาร์คนี้ เป็นวิธีที่นิยมมากในการทำงาน  ความร้อนที่ได้จากการเชื่อมวิธีนี้จะเกิดจากประกายระหว่างชิ้นงานและลวดที่ทำหน้าที่เชื่อม และความร้อนที่ทำให้วัสดุหลอมเหลว จนลวดทำหน้าที่เป็นส่วนเชื่อมเนื้อโลหะเข้าด้วยกัน

4.การเชื่อมแบบทังสเตน (TIG) ซึ่งเป็นการเชื่อมที่เรียกว่า “Tungsten Inert Gas”ลักษณะการเชื่อมนี้จะทำให้ความร้อนที่มาจากการอาร์ค เกิดจากลวดทังสเตนเชื่อม ต่อกับชิ้นงาน โดยมีแก๊สเฉื่อยทำหน้าที่ปกคลุมไว้ในจุดที่เชื่อม ภายใต้บ่อหลอมละลาย เพื่อไม่ให้อากาศจากด้านนอกเข้ามาได้ ไม่เช่นนั้นจะทำให้ปฏิกิริยาการเชื่อมเสียหายตามมาได้ ทั้งนี้การเชื่อมแบบ TIG นิยมใช้สำหรับงานโลหะที่มีความบาง เช่นอลูมิเนียม,แมกนีเซียม เชื่อมกับทองแดง และการเชื่อมเหล็กกล้าไร้สนิมกับโลหะ เป็นต้น  ผู้ที่อยู่ในขั้นตอนนี้ต้องสามารถควบคุมการทำงานได้

5.การเชื่อมแบบ MIG หรือ Metal Inert Gas เป็นกระบวนการเชื่อมที่ใช้ความร้อนจากอาร์คซึ่งเป็นกระบวนการเชื่อมที่จะใช้ความร้อนจากอาร์คซึ่งเป็นลวดเชื่อมกับส่วนของชิ้นงาน โดยลวดเชื่อมที่นำมาใช้นั้นจะต้องเป็นแบบเปลือย ทำหน้าที่ถูกส่งป้อนอย่างต่อเนื่องไปที่จุดอาร์ค บวกกับทำหน้าที่เป็นโลหะคอยเติมเข้าไปยังบ่อหลอมละลายที่ปกคลุมด้วยแก๊สเฉื่อย เป็นส่วนที่มีการป้องกันไม่ให้อากาศภายนอกเข้ามาปะปนรวมอยู่ด้วย เนื่องจากเป็นการป้อนแบบอัตโนมัติ แกนอาร์คจะมีลักษณะเป็นเกลียวหมุนได้ด้วยความเร็วที่เลือกไว้ ซึ่งเป็นการเชื่อมระหว่าฐานและลวด เมื่อลวดละลายเชื่อมเข้ากับฐานแล้ว จึงทำให้มีความแข็งแรงสูง เป็นวิธีง่าย และได้ผลรับที่ดีกับทุกโลหะ ไม่ว่าจะมีความหนาหรือบาง ก็สามารถนำมาใช้ได้

6.การเชื่อมแบบใต้ฟลักซ์ (Submerged Arc) เป็นการเชื่อมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือการนำกระบวนการเชื่อมแบบไฟฟ้าเข้ามารวมกันโดยจะได้รับความร้อนจากอาร์ค โดยผ่านลวดเชื่อมสองเส้นกับตัวชิ้นงานเส้นลวดเปลือยอยู่ถูกวางอยู่ระหว่างอาร์ค และมีฟลักซ์แบบเม็ดคลุมอยู่บริเวณรอบ เพื่อป้องกันไม่ให้อากาศภายนอกเข้ามาทำลายปฏิกิริยาด้านในของแนวเชื่อมได้

7.การเชื่อมแบบแท่ง (Stick) ได้รับความนิยมไม่แพ้กับแบบอาร์ค เพราะมีราคาที่ประหยัด ถึงแม้ว่าโลหะจะเป็นสนิมก็สามารถเชื่อมได้แนบสนิท โดยจะต้องใช้การเชื่อมด้วยกระแสไฟฟ้า นิยมเชื่อมภายในบ้านทั่วไป กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านช่องว่างของโลหะและลวดเชื่อม ที่มีประสิทธิภาพในการเชื่อมที่ทนทาน สามารถเชื่อมข้อต่อที่มีขนาดใหญ่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมภายในหรือภายนอกอาคาร

การแบ่งชนิดของเครื่องเชื่อมไฟฟ้า

โดยทั่วไปแล้วการเชื่อมแบบไฟฟ้า แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ตามรูปแบบของการใช้งานในอุตสาหกรรมการเชื่อม

1.การแบ่งเครื่องเชื่อมไฟฟ้าตามการจ่ายพลังงานเชื่อม
– เครื่องเชื่อมไฟฟ้าแบบกระแสคงที่ เรียกว่า “Constant Current” เมื่อวงจรไฟฟ้าปิดจะมีกระแสไฟเกิดขึ้น  จนกว่าจะเปิดวงจร กระแสไฟฟ้าจะมีการเพิ่มสูงขึ้น แรงของเครื่องไฟฟ้าจะต่ำลง นิยมใช้กับงานเชื่อมหุ้มลักซ์ และการเชื่อมแบบ TIG

– การเชื่อมไฟฟ้าแบบแรงดันคงที่ เรียกว่า “Constant Voltage” จะต่างจากแบบแรกคือ ขณะวงจรเปิดจะไม่มีกระแสไฟ ทำให้มีแรงเคลื่อนไฟฟ้าภายในอยู่ประมาณ 40 โวลต์ นิยมนำมาใช้กับงานเชื่อมแบบอัตโนมัติและแบบกึ่งอัตโนมัติ เช่น การเชื่อม MIG หรือ MAG เป็นต้น

1.เครื่องเชื่อมแบบ Generator เป็นเครื่องที่ต้องใช้ตัวปั่นไฟ โดยส่วนใหญ่ไฟฟ้าที่ส่งออกมาจะเป็นกระแสตรง

2.เครื่องเชื่อมไฟฟ้าแบบหม้อแปลง หรือ Transformer Welding Machine เป็นเครื่องที่นิยมใช้งานทั่วไป มีหลายราคา ข้อดี ของเครื่องชนิดนี้คือน้ำหนักเบามากกว่าแบบ Generator มาก

 

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

6 ปัญหาที่พบบ่อยในการออกแบบติดตั้งโครงหลังคาเหล็ก และวิธีแก้ไข

การออกแบบติดตั้งโครงหลังคาเหล็ก คือหนึ่งในการลงทุนที่สำคัญของการสร้างบ้าน และอาคาร เพราะหลังคาไม่ใช่เป็นเพียงส่วนที่ป้องกันแดดฝน แต่คือโครงสร้างหลักที่คุ้มครองชีวิต และทรัพย์สินทั้งหมดที่อยู่ภายใต้ชายคา โดยการติดตั้งโครงหลังคาเหล็กนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่อาจทำให้เกิดปัญหาได้ หากไม่เข้าใจหรือเตรียมการล่วงหน้า จากประสบการณ์ ห้างหุ้นส่วนจำกัด จิรโรจน์ การช่าง เราพบว่าปัญหาโครงสร้างหลังคาส่วนใหญ่มักมีต้นตอมาจากความผิดพลาดเดิม ๆ ที่สามารถป้องกันได้ วันนี้เราเลยรวบรวม 6 ปัญหาที่พบบ่อยในการออกแบบติดตั้งโครงหลังคาเหล็ก พร้อมวิธีแก้ไข เพื่อให้คุณสามารถวางแผน และตัดสินใจได้ถูกต้อง พร้อมสร้างความมั่นใจในการติดตั้งหลังคาเหล็ก   ออกแบบติดตั้งโครงหลังคาเหล็ก คืออะไร? ออกแบบติดตั้งโครงหลังคาเหล็ก คือ กระบวนการวางแผน ออกแบบ และประกอบโครงสร้างหลังคาที่ใช้วัสดุหลักเป็น เหล็ก เพื่อทำหน้าที่เป็นโครงสร้างรับน้ำหนักหลังคา และป้องกันอาคารจากแดด ฝน และสภาพอากาศต่าง ๆ โดยครอบคลุมตั้งแต่การคำนวณโครงสร้าง การเลือกชนิดเหล็ก ไปจนถึงขั้นตอนการติดตั้งจริง   ทำไมต้องเลือกออกแบบติดตั้งโครงหลังคาเหล็ก? แข็งแรงและทนทาน: เหล็กมีอัตราส่วนความแข็งแรงต่อน้ำหนักที่ยอดเยี่ยม ทำให้สามารถออกแบบโครงสร้างให้มีช่วงกว้างได้โดยไม่ต้องมีเสาค้ำกลางมารบกวนพื้นที่ใช้สอย อายุการใช้งานยาวนาน: หากออกแบบ และป้องกันสนิมอย่างถูกวิธี โครงหลังคาเหล็กจะทนทานต่อปลวก, แมลง และการบิดงอได้ดีเยี่ยม ทำให้มีอายุการใช้งานยาวนานหลายสิบปี ติดตั้งรวดเร็ว: ชิ้นส่วนต่าง ๆ...

มีใครรู้บ้างสแตนเลสคืออะไร ใช้งานกับอะไรได้บ้าง

สแตนเลส (Stainless steel) คือโลหะผสมเหล็ก ผิวมีความสวยกว่าชนิดเหล็ก มีน้ำหนักเบาไม่เป็นสนิมง่าย สแตนเลสมีความเปราะแตกหักง่ายกว่าเหล็ก แต่จะทนต่อการกัดกร่อนได้ดี จึงเหมาะกับการใช้งานภายในเช่นโรงพยาบาล โรงงานอุตสาหกรรมโรงผลิตแปรรูปอาหาร หรือห้องเย็น นอกจากนี้ก็เหมาะกับงานภายนอก มีความคงทนต่อสภาพแวดล้อมได้ ทนแดด ทนฝน ไม่ทำให้เป็นสนิมทั้งงานภายในและภายนอกมีระยะเวลาในการใช้งานที่ยาวนาน สแตนเลสมีหลายเกรด ประเภทของสแตนเลส สแตนเลส SUS 304 เป็นสแตนเลสที่มี สารโครเมี่ยม 18% และนิเกิ้ล 8% บางทีเค้าจะเรียกกันว่า 18/8ซึ่งเกรดนี้จะไม่มี สารโมลิบดีนัม (Molybdenum) มีคาร์บอนต่ำ และเป็นสแตนเลสที่ทนต่อการเกิดสนิม (Oxidation) ทนต่อการกัดกร่อนได้เป็นอย่างดี (Corrosion) ทนอุณหภูมิสูงได้ถึง 1,400 องศา ไม่กัดกร่อนง่าย ไม่ก่อให้เกิดสนิม จึงนิยมใช้เป็นวัสดุนำมาขึ้นรูปทำเฟอร์นิเจอร์หรือครุภัณฑ์ เช่น โต๊ะ อ่างล้างจาน เก้าอี้ ตู้เย็น ภายในเครื่องซักผ้า เป็นต้น สแตนเลส SUS 316 เป็นสแตนเลสที่คนนิยมในการใช้รองลงมาจากสแตนเลส SUS 304มีคุณสมบัติคล้ายกันมากจะต่างกันที่มีส่วนผสมของโมลิบดีนัม (Molybdenum)เพิ่มเข้ามามากกว่าจึงทำให้ทนต่อการเกิดสนิม...

เรามาทำความรู้จักกับเหล็กกัน

เหล็ก เป็นแร่ธาตุที่มีบทบาทกับการนำมาใช้งานในชีวิตประจำวันมากที่สุด เหล็กแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือเหล็ก (iron) และ เหล็กกล้า (steel) ซึ่งทั้งสองประเภทนี้ มีคุณสมบัติที่ต่างกันหลายประการ แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะถูกเรียกอย่างเหมารวมกันว่า “เหล็ก” นั่นเอง เหล็กกล้า เป็นโลหะผสม ที่มีการผสมระหว่าง เหล็ก ซิลิคอน แมงกานีส คาร์บอนและธาตุอื่นๆ อีกเล็กน้อยทำให้มีคุณสมบัติในการยืดหยุ่นสูง ทั้งมีความทนทาน แข็งแรง และสามารถต้านทานต่อแรงกระแทกและภาวะทางธรรมชาติได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญคือเหล็กกล้าไม่สามารถค้นพบได้ตามธรรมชาติเหมือนกับเหล็ก เนื่องจากเป็นเหล็กที่สร้างขึ้นมาโดยการประยุกต์ของมนุษย์ แต่ในปัจจุบันก็มีการนำเหล็กกล้ามาใช้งานอย่างแพร่หลาย เพราะมีต้นทุนต่ำ จึงช่วยลดต้นทุนได้เป็นอย่างมาก เหล็กมีหลายเกรดแต่ละเกรดจะแตกต่างกัน SS400 เป็นแผ่นเหล็กรีดร้อน ใช้ขึ้นงานเหล็กรูปพรรณหรือโครงสร้างต่างๆทั่วไป S45C เป็นกลุ่มเหล็กกล้าคาร์บอนปานกลาง สามารถใช้งานได้อย่างกว้าง ทั้งงานโครงสร้าง งานเครื่องจักร งานแม่พิมพ์ รวมทั้งทำชิ้นส่วนด้านในของเครื่องยนต์ เพราะมีทั้งความแข็ง ความเหนียว และยังสามารถอบชุบเพื่อเพิ่มความแข็งแรงได้อีกทั้งยังมีความสามารถในการทุบขึ้นรูปได้ดีมาก ใช้งานได้หลากหลายชนิด เช่น เพลา ข้อต่อ ลูกกลิ้ง ลูกรีด ชิ้นส่วนเครื่องจักรต่างๆและขึ้นรูปแม่พิมพ์พลาสติกได้อีกด้วย S50C เหล็กกล้าคาร์บอนที่มีธาตุคาร์บอนผสมอยู่ 0.50% ทำนองเดียวกันกับ...

งานชุบกัลป์วาไนซ์ (Hot-dip Galvanized)

งานชุบกัลป์วาไนซ์ หรือที่เรียกกันว่าเหล็ก หรือสังกะสีเนื้อขาว ใช้ความร้อนชุบเพื่อเพิ่มความแข็ง ทนต่อการใช้งานในระยะยาว และกันการเกิดสนิม อีกทั้งยังสามารถทนกรด และความร้อนได้ดี ในการชุบจะใช้อุณหภูมิอยู่ที่ 435-455 องศา ความหนาในการชุบอยู่ที่ 65-306ไมครอน ซึ่งจะเหมาะกับงานภายนอก เช่น เสาธง รางน้ำ ราวสะพาน ราวกันตก โครงสร้างต่างๆฯ

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเชื่อม

การเชื่อมอาร์กอน คือการเชื่อมโลหะด้วยระบบไฟฟ้าอาร์คโดยการใช้แก๊สคลุมเป็นการใช้แก๊สเฉื่อย(Inert Gas) ในการปกคลุมแนวการเชื่อม ปัจจุบันจะนิยมใช้แก๊สอาร์กอน Argon โดยช่างทั่วไปนิยมเรียกว่าการเชื่อมแบบ TIG (Tungsten Inert Gas Welding หรือGTAW) เรียกอีกอย่างว่า “ เชื่อมอาร์กอน ” ซึ่งมีลักษณะการเชื่อมคล้ายกับการเชื่อมด้วยแก๊สเพื่อป้องกันบ่อหลอมจากการปนเปื้อนหรือทำปฎิกิริยากับอากาศรอบๆข้าง ช่างต้องใช้ทั้งสองมือในการทำงาน มือหนึ่งจับหัวเชื่อมอีกมือหนึ่งจับลวดเพื่อเติมแนวเชื่อม ใช้ในกรณีที่ไม่ต้องการใช้ลวดเชื่อม โดยอาศัยความร้อนของอาร์กอนมาหลอมชิ้นงานทั้ง 2 ชิ้นให้ติดกันเหมาะกับการเชื่อมแบบบางๆ ประมาณ 0.5-2.5 มม. ข้อดี แนวเชื่อมมีความสวย ชิ้นงานเนียบมีคุณภาพ สะอาด ควันน้อย ไม่มีประกายไฟ ไม่ต้องใช้ลวดเติม สามารถใช้เชื่อมชิ้นงานบางๆได้ ทั้งสแตนเลส อลูมิเนียม ทองเหลืองและทองแดง ข้อเสีย เชื่อมได้ช้า ราคาค่อนข้างสูงและต้องใช้ความชำนาญในการเชื่อม การเชื่อมไฟฟ้า การเชื่อมไฟฟ้าหรือเรียกอีกอย่างว่าการเชื่อมโลหะด้วยวิธีการเชื่อม “อาร์ค” (คือการดิสชาร์จไฟฟ้าผ่านก๊าซ) โดยใช้ความร้อนในการเชื่อมจะเกิดประกายอาร์คระหว่างชิ้นงานและลวดเชื่อมเป็นการหลอมละลายลวดเชื่อมเพื่อทำหน้าที่ป้อนเนื้อโลหะให้แนวเชื่อม

งานกลึง (turning-operation)

งานกลึง (turning-operation) คือการขึ้นรูปโลหะโดยให้ชิ้นงานหมุนรอบตัวเอง โดยมีดกลึงจะเคลื่อนที่เข้ามาชิ้นงาน งานกลึงจะมี 2 รูปแบบ การกลึงปาดหน้า โดยใช้มีดตัดชิ้นงานตามแนวขวาง (Acriss the work) การกลึงปอก คือ การเคลื่อนมีดตัดไปตามแนวขนาน กับแนวแกนของชิ้นงาน